LINE : @UFAZEEDv2 Telegram : @ufazeedv4
×
@ufazeedv4

Blackjack Insurance เมื่อไหร่ควรเล่น เมื่อไหร่ควรผ่าน

ในบรรดาเกมไพ่ในคาสิโน แบล็คแจ็คถือเป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยกฎกติกาที่เรียบง่าย และการเอาชนะเจ้ามือด้วยไพ่ 21 แต้ม หรือที่เรียกว่า “แบล็คแจ็ค” นั่นเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เกมนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นคือ การเดิมพันเสริมต่าง ๆ ที่มีให้เลือกเล่น

หนึ่งในการเดิมพันเสริมที่ได้รับความนิยมคือ Blackjack Insurance ซึ่งเป็นการเดิมพันว่าไพ่ใบที่สองของเจ้ามือจะเป็นไพ่ 10 แต้ม เมื่อมีไพ่เอซเป็นไพ่หงาย แต่การเดิมพันนี้มักเป็นประโยชน์ต่อคาสิโนมากกว่าผู้เล่น เนื่องจากมีขอบของคาสิโนที่สูง

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Blackjack Insurance ว่ามันคืออะไร มีความเสี่ยงและโอกาสชนะเท่าไหร่ รวมถึงจะแนะนำว่าในสถานการณ์ใดที่การวางเดิมพัน Insurance อาจเป็นตัวเลือกที่ดี และเมื่อไหร่ที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเป็นผู้ชนะเมื่อเล่นแบล็คแจ็คในระยะยาว

Blackjack Insurance คืออะไร?

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Blackjack Insurance คืออะไรกันแน่

Blackjack Insurance เป็นการเดิมพันเสริมที่พบได้บ่อยที่สุดในเกมแบล็คแจ็ค ซึ่งอนุญาตให้ผู้เล่นป้องกันตัวเองจากแบล็คแจ็คของเจ้ามือในสถานการณ์ที่เจ้ามือมีไพ่เอซเป็นไพ่หงาย (Upcard)

เมื่อวางเดิมพัน Insurance ผู้เล่นกำลังเดิมพันว่าไพ่ใบที่สองของเจ้ามือจะเป็นไพ่ 10 แต้ม ไม่ว่าจะเป็นไพ่ 10, J, Q หรือ K ซึ่งจะทำให้เจ้ามือได้ 21 แต้ม หรือก็คือแบล็คแจ็คนั่นเอง ถ้าเจ้ามือได้แบล็คแจ็ค ผู้เล่นจะชนะเดิมพัน Insurance และได้รับเงินในอัตราต่อรอง 2:1

แต่ในทางกลับกัน ถ้าไพ่ใบที่สองของเจ้ามือไม่ใช่ไพ่ 10 แต้ม ผู้เล่นจะเสียเงินเดิมพัน Insurance ทั้งหมด

ยกตัวอย่างการเดิมพัน Insurance

สมมติว่าผู้เล่นวางเดิมพันหลักที่โต๊ะแบล็คแจ็ค 1,000 บาท และได้ไพ่ 8♠ และ 7♥ ซึ่งเท่ากับ 15 แต้ม ขณะที่เจ้ามือมีไพ่ A♦ เป็นไพ่หงาย

ในสถานการณ์นี้ ผู้เล่นสามารถวางเดิมพัน Insurance ได้ โดยจะต้องวางเดิมพันเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของเดิมพันหลัก ซึ่งในกรณีนี้คือ 500 บาท

หากไพ่ใบที่สองของเจ้ามือเป็นไพ่ 10 แต้ม เช่น 10♣ เจ้ามือจะมีแต้มเท่ากับ 21 หรือก็คือแบล็คแจ็ค ในกรณีนี้ผู้เล่นจะชนะเดิมพัน Insurance จำนวน 500 บาท ในอัตราจ่าย 2:1 ซึ่งเท่ากับ 1,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นจะแพ้เดิมพันหลัก 1,000 บาท เนื่องจากเจ้ามือมีแบล็คแจ็ค ดังนั้น ผลสรุปคือผู้เล่นจะเสียเงินไป 1,000 บาท แต่ได้คืนมา 1,000 บาท จากเดิมพัน Insurance จึงเท่ากับว่าเสมอตัว ไม่ได้กำไรหรือขาดทุน

ในทางกลับกัน หากไพ่ใบที่สองของเจ้ามือเป็นไพ่ที่ไม่ใช่ 10 แต้ม เช่น 6♦ ผู้เล่นจะแพ้เดิมพัน Insurance 500 บาท ส่วนผลของเดิมพันหลักจะขึ้นอยู่กับไพ่ที่ผู้เล่นและเจ้ามือมีในมือหลังจากนั้น

ทำไมการเดิมพัน Insurance ถึงไม่คุ้มค่า

โดยพื้นฐานแล้ว อัตราต่อรองของการที่เจ้ามือจะได้แบล็คแจ็คหลังจากมีไพ่เอซเป็นไพ่หงายอยู่ที่ประมาณ 31% โดยขึ้นอยู่กับจำนวนสำรับไพ่ที่ใช้

อย่างไรก็ตาม การเดิมพัน Insurance จะจ่ายเงินในอัตรา 2:1 หรือก็คือผลตอบแทนเพียง 33.33% สำหรับผู้เล่นที่ชนะเดิมพันนี้ ซึ่งมากกว่าความน่าจะเป็นที่แท้จริงเล็กน้อย

ความแตกต่างระหว่างสองค่านี้ ประมาณ 2-3% คือขอบเจ้ามือ (House Edge) ในเดิมพัน Insurance ซึ่งหมายความว่าคาสิโนจะได้เปรียบจากการเดิมพันนี้ในระยะยาว

เพราะฉะนั้น ในมุมมองของกลยุทธ์เกม การเดิมพัน Insurance จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่คาดหวังเป็นลบต่อผู้เล่น

คณิตศาสตร์เบื้องหลัง Blackjack Insurance

มาวิเคราะห์คณิตศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการเดิมพัน Insurance ในแบล็คแจ็คกันดีกว่า เพื่อที่ผู้เล่นจะได้ตัดสินใจอย่างชาญฉลาด

สมมติว่าคุณกำลังเล่นแบล็คแจ็คออนไลน์ด้วยสำรับเดียว และเดิมพัน Insurance 200 บาท ในสถานการณ์นี้ อัตราส่วนระหว่างไพ่ 10 แต้ม กับไพ่ที่ไม่ใช่ 10 แต้มคือ 16 ใบ (10 สี่ใบ, J สี่ใบ, Q สี่ใบ และ K สี่ใบ) ต่อ 36 ใบ

ถ้าเจ้ามือมีไพ่เอซเป็นไพ่หงายและเปิดโอกาสให้คุณวางเดิมพัน Insurance อัตราส่วนระหว่างไพ่ที่ไม่ใช่ 10 แต้มกับไพ่ 10 แต้มจะเป็น 35 ต่อ 16 (ถ้าไม่นับไพ่ในมือของคุณ) หรือก็คือ:

35 ครั้งที่คุณวางเดิมพัน Insurance 200 บาท คุณจะเสีย 7,000 บาท (จากครั้งที่เจ้ามือไม่ได้ไพ่ 10 แต้ม)

16 ครั้งที่คุณวางเดิมพันเดียวกัน และเจ้ามือได้ไพ่ 10 แต้มเป็นไพ่ที่ซ่อนอยู่ คุณจะชนะ 6,400 บาท (เพราะการเดิมพันนี้จ่าย 2:1)

หากคุณวางเดิมพัน Insurance ทุกครั้ง ผลสรุปคือคุณจะขาดทุน 600 บาท (7,000 – 6,400) เมื่อคำนวณความเสียเปรียบโดยหาร 600 ด้วย 10,200 จะได้ประมาณ 5.9% ซึ่งก็คือขอบของคาสิโน (House Edge) นั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการจ่ายเงินสำหรับเดิมพัน Insurance นั้นต่ำกว่าอัตราต่อรองที่แท้จริงของการที่เจ้ามือจะได้ไพ่ 10 แต้ม ถ้าหากจ่ายเท่ากับอัตราต่อรองจริง คาสิโนควรจ่ายมากกว่า 400 บาทเล็กน้อยเมื่อผู้เล่นชนะเดิมพันนี้ แต่พวกเขาไม่ทำแบบนั้น ซึ่งแปลว่าเกมนี้ได้เปรียบคาสิโน

ควรทำประกันไพ่ในมือของเราหรือไม่

กฎของแบล็คแจ็คไม่ได้ระบุชัดเจนว่าไม่ควรวางเดิมพัน Insurance อย่างไรก็ตาม หากคุณเจอสถานการณ์ดังต่อไปนี้ ให้ใช้สามัญสำนึกและคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ในการตัดสินใจครั้งต่อไป:

กรณีที่มีไพ่ต่ำในมือ

คุณอาจพิจารณาวางเดิมพัน Insurance หากมีไพ่แต้มต่ำในมือ เช่น 16 แต้มหรือต่ำกว่า เพราะถ้าจั่วไพ่เพิ่ม คุณมีโอกาสสูงที่จะแตก (Bust) ดังนั้นการเดิมพัน Insurance อาจช่วยลดความสูญเสียลงได้

กรณีที่มีไพ่ดีในมือ

สมมติว่าคุณมีไพ่รวม 20 แต้ม และเจ้ามือมีไพ่เอซ บางคนอาจแนะนำให้ทำประกันเพราะแม้เจ้ามือจะไม่ได้ไพ่ 10 แต้ม พวกเขาก็จะต้องพยายามมากกว่าจะชนะไพ่ 20 แต้มของคุณได้ อีกทั้งคุณยังหลีกเลี่ยงการเสียเดิมพันจากไพ่ที่ดีอยู่แล้วด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากองค์ประกอบของไพ่ในสำรับ ถ้าคุณมีไพ่ 20 แต้ม ไพ่ 10 แต้ม 2 ใบจาก 8 ใบก็อยู่ในมือแล้ว ทำให้เจ้ามือมีโอกาสน้อยลงที่จะได้ไพ่ 10 แต้ม ในสถานการณ์แบบนี้ House Edge จะพุ่งสูงถึง 14.5% ซึ่งทำให้ช่วงที่มีไพ่ดีเป็นช่วงที่แย่ที่สุดในการพิจารณาวางเดิมพัน Insurance

กรณีที่ได้แบล็คแจ็ค – กรณีพิเศษ Even Money

หากคุณมีแบล็คแจ็ค และเจ้ามือมีไพ่เอซ คุณจะเจอสถานการณ์ “แจกเงินเท่า” (Even Money) ซึ่งก็คือการเดิมพัน Insurance นั่นเอง

สมมติว่าคุณวางเดิมพัน 1,000 บาทและเดิมพัน Insurance อีก 500 บาท ถ้าเจ้ามือได้แบล็คแจ็ค คุณจะได้เงิน 1,000 บาทจากอัตราจ่าย 2:1 ของ Insurance ส่วนถ้าเจ้ามือไม่ได้แบล็คแจ็ค คุณจะชนะ 1,500 บาทจากอัตราจ่าย 3:2 ของแบล็คแจ็ค แต่ก็จะเสียเงินประกัน 500 บาท เหลือกำไรสุทธิ 1,000 บาท

ข้อสำคัญคือ เจ้ามือจะต้องไม่ทำแบล็คแจ็คเสมอ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้น้อยกว่า 31% ของเวลา หากเขาไม่ได้เสมอกับแบล็คแจ็คของคุณ คุณจะได้เงิน 1,500 บาทจากเดิมพัน 1,000 บาท ซึ่งทำให้การเดิมพัน Insurance เป็นตัวเลือกที่ไม่คุ้มค่า

การเล่น Insurance ให้ได้กำไรต้องอาศัยมากกว่ากลยุทธ์ทั่วไป คุณต้องนับไพ่ในแบล็คแจ็คเป็นอย่างดีจึงจะถูกต้อง ดังนั้นทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการเดิมพันนี้ไปเลย

การเดิมพันเสริมประเภทอื่น ๆ ในแบล็คแจ็ค

นอกเหนือจากการเดิมพันหลัก ซึ่งก็คือการทายว่าไพ่ของผู้เล่นจะชนะไพ่ของเจ้ามือหรือไม่แล้ว ยังมีการเดิมพันเสริมอื่น ๆ ในแบล็คแจ็คอีกด้วย โดยทั่วไปการเดิมพันเสริมเหล่านี้มักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเดิมพันมาตรฐานในแบล็คแจ็ค แต่ก็มาพร้อมกับ House Edge ที่สูงขึ้นเช่นกัน นั่นหมายความว่ามีความเสี่ยงมากกว่านั่นเอง

นอกจาก Insurance แล้ว ต่อไปนี้คือการเดิมพันเสริมยอดนิยมในแบล็คแจ็ค

  1. Perfect Pairs

เป็นการเดิมพันว่าไพ่ 2 ใบแรกของผู้เล่นจะเป็นไพ่คู่หรือไม่ และถ้าเป็น จะเป็นไพ่คู่ประเภทใด (Perfect Pair, Coloured Pair หรือ Mixed Pair)

Perfect Pair หมายถึงไพ่ 2 ใบแรกต้องมีแต้มและชนิดเดียวกันทั้งหมด เช่น 10♥ กับ 10♥

Coloured Pair หมายถึงไพ่มีแต้มเท่ากันและสีเดียวกัน แต่ต่างชนิดกัน เช่น 10♥ กับ 10♦

Mixed Pair หมายถึงไพ่มีแต้มเท่ากันแต่คนละสีและคนละชนิด เช่น 10♥ กับ 10♣

โดยทั่วไปการจ่ายเงินของเดิมพันนี้อยู่ที่ 6:1 ถึง 30:1 ขึ้นอยู่กับประเภทของไพ่คู่

  1. 21+3

ผู้เล่นต้องรวมไพ่ 2 ใบแรกของตนเองกับไพ่หงายของเจ้ามือ เพื่อสร้างมือไพ่โป๊กเกอร์ 3 ใบ โดยการจ่ายเงินจะขึ้นอยู่กับว่ามือนั้นแข็งแรงแค่ไหน (เช่น Flush, Straight, Three of a Kind) อัตราการจ่ายเงินของ 21+3 จะแตกต่างกันไปในแต่ละคาสิโน

  1. Bust It

เป็นการเดิมพันว่าเจ้ามือจะแตก (Bust) หรือไม่ และถ้าแตก จะใช้กี่ใบกว่าจะแตก ซึ่งการจ่ายเงินจะแตกต่างกันไป

  1. Lucky Ladies

เป็นการเดิมพันว่าไพ่ 2 ใบแรกของผู้เล่นจะมีแต้มรวมกัน 20 หรือไม่ โดยการจ่ายเงินสูงสุดมักจะเป็นเมื่อผู้เล่นได้ Queen of Hearts ทั้งสองใบ ซึ่งรวมกันเป็น 20 แต้ม

  1. Over/Under 13

เป็นการทายว่าแต้มรวมของไพ่ 2 ใบแรกของผู้เล่นจะสูงกว่าหรือต่ำกว่า 13 ซึ่งมักจะจ่ายในอัตราเงินต่อเงิน (Even Money)

นอกจาก Insurance และตัวอย่างการเดิมพันเสริมที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีการเดิมพันประเภทอื่น ๆ อีกมากมายที่คาสิโนต่าง ๆ นำเสนอ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นและความหลากหลายให้กับเกม

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ผู้เล่นควรตระหนักคือ การเดิมพันเสริมเหล่านี้มักจะมีขอบเจ้ามือที่สูงกว่าการเดิมพันปกติ ดังนั้น ถึงแม้จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่โอกาสในการชนะก็น้อยกว่าไปด้วย ผู้เล่นจึงควรศึกษาอัตราต่อรองและกลยุทธ์ให้ดีก่อนตัดสินใจวางเดิมพัน

บทสรุป

Blackjack Insurance เป็นการเดิมพันเสริมประเภทหนึ่งที่พบได้บ่อยในเกมแบล็คแจ็ค ซึ่งอนุญาตให้ผู้เล่นวางเดิมพันข้างเคียงว่าไพ่ใบที่สองของเจ้ามือจะเป็นไพ่ 10 แต้ม (10, J, Q, K) หรือไม่ ถ้าใช่ ผู้เล่นจะได้รับเงินในอัตราต่อรอง 2:1

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก House Edge หรือขอบของคาสิโนสำหรับการเดิมพันนี้อยู่ที่ราว ๆ 5.9% ถึง 7.5% (ขึ้นอยู่กับกฎของโต๊ะ) ทำให้ Blackjack Insurance เป็นการเดิมพันที่ไม่คุ้มค่าในระยะยาว

ถึงแม้ในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อมีไพ่ต่ำในมือ การทำประกันอาจช่วยลดความเสียหายลงได้บ้าง แต่โดยรวมแล้ว ผู้เล่นส่วนใหญ่ควรหลีกเลี่ยงการเดิมพันนี้ เพื่อลดความได้เปรียบของคาสิโน

สำหรับผู้ที่สนใจในการเดิมพันเสริมประเภทอื่น ๆ ก็มีให้เลือกมากมายในเกมแบล็คแจ็ค ไม่ว่าจะเป็น Perfect Pairs, 21+3, Bust It, Lucky Ladies หรือ Over/Under 13 ซึ่งถึงแม้จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเดิมพันปกติ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและขอบของคาสิโนที่สูงขึ้นเช่นกัน

ดังนั้น ไม่ว่าจะวางเดิมพันประเภทใด ผู้เล่นควรทำการบ้านศึกษาอัตราต่อรองและความคุ้มค่าในการเดิมพันให้ดีเสมอ เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดในการชนะในระยะยาว