LINE : @UFAZEEDv2 Telegram : @ufazeedv4
×
@ufazeedv4

ค่าน้ำบอล คู่มือสำหรับมือใหม่ สู่เส้นทางเซียนบอลมืออาชีพ

สำหรับนักพนันมือใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่วงการแทงบอลออนไลน์ หนึ่งในเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ “ค่าน้ำบอล” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้คุณเพิ่มโอกาสในการชนะเดิมพันได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าน้ำบอลมีความหลากหลาย และแตกต่างกันไปตามเว็บไซต์หรือโต๊ะบอลแต่ละแห่ง รวมถึง UFAZeed ที่มีการกำหนดค่าน้ำบอลเฉพาะสำหรับเว็บของตนเอง ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าน้ำบอลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักพนันมือใหม่ที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรจากการแทงบอลออนไลน์

ความหมายของค่าน้ำบอล

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับค่าน้ำบอลกันก่อนว่า ค่าน้ำบอล คืออะไร? โดยทั่วไปแล้ว ค่าน้ำบอล หมายถึง ค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชั่นที่เว็บไซต์หรือโต๊ะบอลจะหักเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดเงินที่ลูกค้าชนะเดิมพัน เช่นเดียวกับเกมพนันประเภทอื่นๆ ที่มักจะมีการหักค่าธรรมเนียมไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

โดยปกติแล้ว ค่าน้ำบอลจะถูกแสดงด้วยสี, สัญลักษณ์ หรือข้อความ ที่ถูกกำกับไว้ด้านหลังของราคาต่อรองบอลในแต่ละคู่ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามเว็บไซต์หรือโต๊ะบอลนั้นๆ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าน้ำบอลจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักพนันมือใหม่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถคำนวณผลกำไรหรือขาดทุนที่จะได้รับจากการแทงบอลในแต่ละครั้งได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ค่าน้ำบอลของโต๊ะทั่วไป

สำหรับโต๊ะบอลทั่วไปที่เปิดให้บริการตามสถานที่ต่างๆ จะมีวิธีการคิดค่าน้ำบอลที่แตกต่างจากการแทงบอลออนไลน์ โดยจะแบ่งออกเป็น 5 ราคา ได้แก่

  1. ราคาขาว – แทงทีมต่อ 100 บาท ชนะได้ 80 บาท แพ้เสีย 100 บาท ส่วนทีมรอง แทง 100 บาท ชนะได้ 100 บาท แพ้เสีย 100 บาท
  2. ราคาลบสิบ (-10) – แทงทีมต่อหรือทีมรอง 100 บาท ชนะได้ 90 บาท แพ้เสีย 100 บาท
  3. ราคาลบห้า (-5) – แทงทีมต่อ 100 บาท ชนะได้ 100 บาท แพ้เสีย 100 บาท ส่วนทีมรอง แทง 100 บาท ชนะได้ 80 บาท แพ้เสีย 100 บาท
  4. ราคาบวกสิบ (+10) – แทงทีมต่อ 110 บาท ชนะได้ 80 บาท แพ้เสีย 110 บาท ส่วนทีมรอง แทง 90 บาท ชนะได้ 100 บาท แพ้เสีย 90 บาท
  5. ราคาเสมอ – แทงทีมต่อหรือทีมรอง ชนะได้และเสียเท่ากับจำนวนเงินที่แทง

จะเห็นได้ว่า วิธีการคิดค่าน้ำบอลของโต๊ะทั่วไปจะมีความซับซ้อนพอสมควร ซึ่งอาจทำให้นักพนันมือใหม่รู้สึกสับสนได้ง่าย อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถทำความเข้าใจและจดจำวิธีการคิดค่าน้ำบอลในแต่ละราคาได้แล้ว ก็จะช่วยให้การแทงบอลของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ค่าน้ำบอลออนไลน์

ในปัจจุบัน การแทงบอลออนไลน์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความสะดวกรวดเร็ว และสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ โดยเว็บไซต์แทงบอลออนไลน์ส่วนใหญ่จะมีวิธีการคิดค่าน้ำบอลที่แตกต่างจากโต๊ะบอลทั่วไป

สำหรับการคิดค่าน้ำบอลในเว็บแทงบอลออนไลน์ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ การคูณอัตราจ่าย และ ราคาต่อรอง โดยที่ทุกเกมการแข่งขันจะมีตัวเลขทศนิยมกำกับไว้ที่ราคาต่อรอง การคิดค่าน้ำบอลก็เป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่นำเงินที่เราแทงไปคูณกับตัวเลขที่เรากำลังจะวางเดิมพัน เช่น หากคุณแทงบอล 100 บาท ในราคาต่อรอง 2.1 หากทีมที่คุณแทงเป็นฝ่ายชนะ คุณก็จะได้รับเงินทั้งหมด 210 บาท (100 x 2.1) ซึ่งเป็นยอดเงินที่รวมทุนเดิมพันของคุณไว้แล้ว

โดยทั่วไป อัตราจ่ายปกติของเว็บแทงบอลออนไลน์จะอยู่ที่ 0.27-115 หรืออาจจะมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับโต๊ะบอลและความนิยมของคู่บอลนั้นๆ นอกจากนี้ อัตราจ่ายยังมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา โดยมักจะมีการอัปเดตทุก 2 นาที หรือที่เรียกว่า “ราคาไหล” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักพนันมืออาชีพมักจะเฝ้าติดตามและรอจังหวะในการวางเดิมพัน โดยเฉพาะในช่วง 5 นาทีสุดท้ายก่อนจบเกม เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะมากยิ่งขึ้น

วิธีอ่านราคาบอล

นอกจากการทำความเข้าใจเรื่องค่าน้ำบอลแล้ว การอ่านราคาบอลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นักพนันมือใหม่ควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ดี เพราะมันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกคู่บอลที่จะแทงได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

โดยทั่วไป ราคาบอลจะถูกแสดงเป็นตัวเลขทศนิยม เช่น 0.25, 0.5, 0.75, 1.0, 1.25, 1.50, 1.75, 2.0 ซึ่งแต่ละตัวเลขก็จะมีวิธีการอ่านและการคิดเงินต่อรองที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในส่วนของทีมต่อและทีมรอง ดังนี้

  • 25 หรือ ปป (เสมอควบครึ่ง) – ทีมต่อชนะมากกว่า 1 ลูก ได้เต็ม, เสมอ เสียครึ่ง, แพ้ เสียเต็ม ส่วนทีมรองชนะ ได้เต็ม, เสมอ เสียครึ่ง, แพ้ 1 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม
  • 5 หรือ ครึ่งลูก – ทีมต่อชนะมากกว่า 1 ลูก ได้เต็ม, เสมอหรือแพ้ เสียเต็ม ส่วนทีมรองชนะ ได้เต็ม, เสมอ เสียครึ่ง, แพ้ 1 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม
  • 75 หรือ ครึ่งควบลูก – ทีมต่อชนะมากกว่า 1 ลูก ได้ครึ่ง, เสมอหรือแพ้ เสียเต็ม ส่วนทีมรองชนะหรือเสมอ ได้เต็ม, แพ้ 1 ลูก เสียครึ่ง, แพ้ 2 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม
  • หรือ หนึ่งลูก – ทีมต่อชนะมากกว่า 2 ลูก ได้เต็ม, เสมอ ไม่ได้ไม่เสีย, แพ้ 2 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม ส่วนทีมรองชนะหรือเสมอ ได้เต็ม, แพ้ 1 ลูก ได้ครึ่ง, แพ้ 2 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม
  • 25 หรือ ครึ่งควบลูก – ทีมต่อชนะ 2 ลูกขึ้นไป ได้เต็ม, ชนะ 1 ลูก เสียครึ่ง, เสมอหรือแพ้ เสียเต็ม ส่วนทีมรองชนะได้เต็ม, แพ้ 1 ลูก ได้ครึ่ง, แพ้ 2 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม

 

  • 50 หรือ ลูกครึ่ง – ทีมต่อชนะ 2 ลูกขึ้นไป ได้เต็ม, ชนะ 1 ลูก หรือเสมอหรือแพ้ เสียเต็ม ส่วนทีมรองชนะได้เต็ม, แพ้ 2 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม
  • 75 หรือ ลูกควบครึ่ง – ทีมต่อชนะ 2 ลูกขึ้นไป ได้ครึ่ง, ชนะ 1 ลูก หรือเสมอหรือแพ้ เสียเต็ม ส่วนทีมรองชนะหรือเสมอ ได้เต็ม, แพ้ 2 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม
  • หรือ สองลูก – ทีมต่อชนะ 3 ลูกขึ้นไป ได้เต็ม, ชนะ 2 ลูก ไม่ได้ไม่เสีย, ชนะ 1 ลูก หรือเสมอหรือแพ้ เสียเต็ม ส่วนทีมรองชนะ ได้เต็ม, แพ้ 3 ลูกขึ้นไป เสียเต็ม

การทำความเข้าใจและจดจำวิธีการอ่านราคาบอลเหล่านี้ จะช่วยให้คุณสามารถคำนวณผลกำไรหรือขาดทุนที่จะได้รับจากการแทงบอลในแต่ละครั้งได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับนักพนันมือใหม่ การจดจำราคาบอลทั้งหมดอาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากและสับสน ดังนั้น ในช่วงแรก คุณอาจจะเลือกจดจำเพียงราคาบอลที่พบบ่อยๆ เช่น 0.5, 1.0, 1.5 ก่อนก็ได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มความรู้และประสบการณ์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถอ่านราคาบอลได้อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ

ค่าน้ำบอลแต่ละประเภท

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับค่าน้ำบอลและวิธีการอ่านราคาบอลกันไปแล้วในบทความตอนที่ 1 ในตอนนี้เราจะมาดูกันต่อว่า ค่าน้ำบอลที่เราพบเห็นตามเว็บไซต์แทงบอลออนไลน์ต่างๆ นั้น มีอะไรบ้าง และแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ค่าน้ำบอลที่พบได้บ่อยและมักถูกนำมาใช้อ้างอิงในวงการพนันบอลออนไลน์ จะมีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ค่าน้ำมาเลย์, ค่าน้ำฮ่องกง และ ค่าน้ำยุโรป โดยมีรายละเอียดดังนี้

ค่าน้ำมาเลย์ (Malaysian Odds)

ค่าน้ำมาเลย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ค่าน้ำดำแดง” เป็นอัตราต่อรองที่นิยมใช้กันมากในเอเชีย ลักษณะเด่นของค่าน้ำประเภทนี้คือ มีการแสดงราคาเป็น 2 สี ได้แก่ ราคาน้ำดำ และ ราคาน้ำแดง โดยมีความหมายดังนี้

  • ราคาน้ำดำ จะแสดงตัวเลขเป็นสีดำ เป็นค่าน้ำบอลที่มีค่าเป็นบวก หากทายผลถูก จะได้กำไรตามอัตราที่ระบุไว้ แต่หากทายผิด จะเสียเงินเดิมพันเท่ากับยอดที่ลงไป เช่น แทงราคาน้ำดำ 0.90 ด้วยเงิน 1,000 บาท ถ้าชนะจะได้กำไร 900 บาท แต่ถ้าแพ้จะเสียเงินเดิมพัน 1,000 บาทเต็มจำนวน
  • ราคาน้ำแดง จะแสดงตัวเลขเป็นสีแดง เป็นค่าน้ำบอลที่มีค่าติดลบ หากทายผลถูก จะได้กำไรเท่ากับยอดเงินที่ลงไป แต่หากทายผิด จะเสียเงินตามอัตราที่ระบุไว้ เช่น แทงราคาน้ำแดง -0.90 ด้วยเงิน 1,000 บาท ถ้าชนะจะได้กำไร 1,000 บาท แต่ถ้าแพ้จะเสียเงินเพียง 900 บาท

ค่าน้ำฮ่องกง (Hong Kong Odds)

ค่าน้ำฮ่องกง เป็นอัตราต่อรองที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเอเชีย เนื่องจากมีอัตราจ่ายที่สูงกว่าทุนที่ลงไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮ่องกง มาเก๊า และจีน โดยทั่วไปแล้ว อัตราจ่ายของค่าน้ำฮ่องกง มักจะอยู่ที่ 0.90-1.00 หรือประมาณ 9/10 ซึ่งหากเปรียบเทียบกับค่าน้ำมาเลย์ ก็จะมีอัตราการจ่ายที่สูงกว่าเล็กน้อย

ยกตัวอย่างเช่น หากเราแทงทีมต่อ ด้วยเงินทุน 1,000 บาท ที่ราคาค่าน้ำฮ่องกง 0.95 หากทีมที่เราแทงเป็นฝ่ายชนะ เราจะได้รับกำไร 950 บาท (และได้รับเงินทุนคืน 1,000 บาท รวมเป็น 1,950 บาท) ซึ่งจะเห็นได้ว่า เป็นอัตราการจ่ายที่สูงมาก หากเทียบกับทุนเดิมพันเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อเสียคือ หากเกิดเหตุการณ์ผิดคาด เช่น มีการเสมอกันเกิดขึ้น เราก็จะเสียเงินทุนทั้งหมดที่ลงไปนั่นเอง

ค่าน้ำยุโรป (European Odds)

ค่าน้ำยุโรป หรือเรียกอีกอย่างว่า “ค่าน้ำเดซิมอล” (Decimal Odds) เป็นอัตราต่อรองอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบยุโรป ลักษณะเด่นของค่าน้ำประเภทนี้คือ มีอัตราการจ่ายที่สูงเมื่อเทียบกับค่าน้ำมาเลย์ทั่วไป โดยมักจะอยู่ในช่วง 1.20 ถึง 2.00 เท่า

ยกตัวอย่างเช่น หากเราแทงทีมเต็ง ที่ราคาค่าน้ำยุโรป 1.65 ด้วยเงิน 1,000 บาท หากทีมที่เราแทงเป็นฝ่ายชนะ เราจะได้รับเงินรางวัลทั้งหมด 1,650 บาท (รวมเงินทุน) ซึ่งเท่ากับว่าเราจะได้กำไรสุทธิ 650 บาทจากเงินทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพึงระวังสำหรับค่าน้ำยุโรป ก็คือ เนื่องจากมีอัตราการจ่ายที่สูง จึงอาจทำให้นักพนันหลายคนประมาทและเผลอลงทุนมากเกินตัวได้ง่าย ดังนั้น ก่อนที่จะแทงด้วยค่าน้ำประเภทนี้ จึงควรคำนวณให้ดีเสียก่อนว่า เงินทุนที่เรามีนั้น สามารถรองรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ควรหมกมุ่นจนเกินไป เพราะการพนันก็ยังคงมีโอกาสที่จะสูญเสียได้เสมอ ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใด

วิธีเปรียบเทียบค่าน้ำบอลประเภทต่างๆ

สำหรับนักพนันที่เพิ่งเริ่มหัดเล่น การดูค่าน้ำบอลหลายๆ ประเภทพร้อมกัน อาจจะทำให้รู้สึกสับสนเล็กน้อย ว่าแบบไหนจ่ายดีกว่ากัน และควรเลือกแทงแบบใดถึงจะคุ้มที่สุด วิธีการง่ายๆ ในการเปรียบเทียบ ก็คือการคำนวณหาค่าน้ำจากยอดเงินเดิมพันเท่าๆ กัน

ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีทุน 1,000 บาท และต้องการจะแทงทีมต่อ เราสามารถเปรียบเทียบอัตราการจ่ายของค่าน้ำ 3 ประเภท จากยอดเงินที่เท่ากัน ดังนี้

  • ค่าน้ำมาเลย์ 0.90 จะได้เงินรางวัล 1,900 บาท (กำไร 900 บาท)
  • ค่าน้ำฮ่องกง 0.95 จะได้เงินรางวัล 1,950 บาท (กำไร 950 บาท)
  • ค่าน้ำยุโรป 1.95 จะได้เงินรางวัล 1,950 บาท (กำไร 950 บาท)

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า หากคำนวณจากยอดทุนที่เท่ากัน ค่าน้ำฮ่องกงและค่าน้ำยุโรป จะให้อัตราการจ่ายที่สูงกว่าค่าน้ำมาเลย์ถึง 50 บาท ซึ่งหากเป็นยอดเงินเดิมพันที่สูงๆ เช่น หลักหมื่นหรือแสน ผลต่างของเงินรางวัลที่ได้ ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม การที่ค่าน้ำฮ่องกงและค่าน้ำยุโรปให้อัตราการจ่ายที่สูงนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีไปเสียทุกอย่าง เพราะโดยทั่วไปแล้ว อัตราการจ่ายที่สูง ก็มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน ในทางกลับกัน ค่าน้ำมาเลย์ที่มีอัตราการจ่ายที่น้อยกว่า ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวเลือกที่ไม่ดี เพราะความเสี่ยงก็น้อยกว่าด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกแทงบอลด้วยค่าน้ำแบบใด สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้จักประเมินและบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสมกับเป้าหมายและงบประมาณของตัวเอง โดยอาจจะเลือกใช้วิธีจัดสรรเงินทุนแบบ “หลายตะกร้า” คือแบ่งเงินเป็นสัดส่วนย่อยๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น ใช้ค่าน้ำที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงสูงกับทุนส่วนหนึ่ง และใช้ค่าน้ำที่ให้ผลตอบแทนปานกลาง แต่ความเสี่ยงต่ำกับอีกส่วนหนึ่ง เพื่อสร้างความสมดุลในการลงทุน

นอกจากนี้ การเจาะจงเลือกแทงบอลเพียงประเภทใดประเภทหนึ่ง บางครั้งก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะค่าน้ำบอลแต่ละประเภท ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป การเลือกใช้งานอย่างผสมผสานตามความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ ควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจเลือกลงทุนตามความถนัดและระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้